บันทึกครั้งที่ 8
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556
การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
บันทันทึกครั้งที่ 6
อาจารย์ให้นำเสนองาน ดังนี้
เด็กปัญญาเลิศ
เด็กปัญญาเลิศ
1. นิยาม
เด็ก
ปัญญาเลิศ หมายถึง เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
และความถนัดเฉพาะทางอยู่ระดับสูงกว่าเด็กอื่นในวัยเดียวกัน
คำที่ใช้ในความหมายที่มีอยู่หลายคำ เช่น เด็กปัญญาเลิศ เด็ก
อัจฉริยะ เด็กฉลาด เด็กมีพรสวรรค์ ฯลฯ เมื่อพูดถึงเด็กปัญญาเลิศ
ก็มักนึกถึงเด็กที่เรียนเก่ง
สอบได้คะแนนดีหรือถือเอาเรื่องของความถนัดเฉพาะทางซึ่งเรียกกันว่า
พรสวรรค์ในด้านที่เห็นได้ชัด เช่น ทางศิลปะ และดนตรีเป็นหลัก
ดังนั้นเด็กที่ไม่มีโอกาสแสดงความสามารถไม่ว่าทางใด เช่น เด็กยากจน
หรือยู่ในสิ่งแวดล้อมจำกัดไม่ได้รับการส่งเสริมให้เป็นเด็กมีความสามารถ
ก็ไม่มีโอกาสได้ชื่อว่าเป็นเด็กปัญญาเลิศ แต่
เด็กปัญญาเลิศก็ยังคงเป็นเด็กที่มีความต้องการอื่นๆ เหมือนเด็กทั่วๆไป
ปัญหาที่พบมักจะเป็นผลจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของเด็กกลุ่มนี้
และไม่สามารถเอื้ออำนวยต่อความต้องการและความสามารถของเด็กได้อย่างเหมาะสม
จึงพบปัญหาการปรับตัวได้ เช่น การแยกตัวจากกลุ่มเพื่อน
เบื่อหน่ายการเรียนที่ไม่ได้เรียนสิ่งที่ตนเองสนใจ
หรือคับข้องใจที่ได้รับการส่งเสริมแต่เพียงการใช้ความสามารถทางเชาวน์ปัญญา
แต่ขาดการตอบสนองทางอารมณ์ตามวัย
2. การคัดแยก
การคัดแยกเด็กปัญญาเลิศจะต้องสอดคล้องกับกระบวนการที่จะตามมา ซึ่งได้แก่เป้าหมายของการศึกษา วัตถุประสงค์ การจัดหลักสูตร วิธีสอน และการประเมินผลการศึกษา การคัดแยกเด็กปัญญาเลิศนั้น ควรเริ่มในวัยเด็ก ทั้งนี้เพื่อจะได้ส่งเสริมเด็กได้ทันท่วงที ผู้ที่ทำการคัดเลือกควรใช้วิธีการหลายๆวิธีรวมกัน ไม่ควรใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง เพราะว่าเด็กมาจากสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันซึ่งจะส่งผลต่อการทดสอบ หากเด็กมีปัญหาทางด้านอารมณ์ ภาษา และการพูดด้วยแล้ว การทดสอบตลอดจนการแปลผลคะแนน จะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง ให้เลือกใช้วิธีการคัดแยกเด็กวิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้
2.1 การคัดแยกเด็กตามวิธีของโกแวน (Gowan) มีดังนี้
2.1.1 คัดเลือกเด็กที่หลายคนคิดว่าเป็นเด็กฉลาด
2.1.2 ทดสอบเด็ก โดยใช้แบบทดสอบวัดระดับสติปัญญาที่เป็นการทดสอบพร้อมกันครั้งละหลายคน คัดเลือกเอาเด็กที่ได้คะแนนสูงสุด 10% เด็กเหล่านี้จัดเป็นเด็กปัญญาเลิศ ส่วนเด็กที่เหลือให้จัดกลุ่มไว้ต่างหาก เด็กกลุ่มนี้เรียกว่า “อ่างเก็บน้ำ”
2.1.3 ให้ครูประจำชั้นคัดเลือกเด็กในชั้นจำนวนหนึ่ง เด็กที่คัดเลือกควรมีลักษณะดังนี้
- เรียนเก่ง
- รู้คำศัพท์มาก
- มีความคิดสร้างสรรค์สูง
- มีความเป็นผู้นำ
- มีความสนใจและเก่งในวิชาวิทยาศาสตร์
- มีความคิดเชิงวิจารณ์สูง
- มีลักษณะพิเศษ แต่มักรบกวนความสงบในห้องเรียน
- มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง
- มีเพื่อนมากที่สุด
- มีพ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจ ส่งเสริมการเรียนของเด็ก
2.1.4 ทดสอบเด็กที่คัดเลือกไว้ในข้อ 1.3 โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คัดเอาเด็กที่เก่งที่สุด 10% ไว้ ส่วนเด็กที่เหลือจัดไว้ในกลุ่ม “อ่างเก็บน้ำ” ตามข้อ 1.2
2.1.5 ครูใหญ่ ครูประจำชั้น ครูแนะแนว และครูอื่นที่เคยสอน หรือรู้จักเด็กเป็นอย่างดี ทำการคัดเลือกเด็กที่มีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
- เป็นหัวหน้ากลุ่มนักเรียน
- มีความชำนาญพิเศษเฉพาะด้าน
- มีพ่อแม่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษาดี
- เป็นเด็กฉลาด แม้จะมีปัญหาในการอ่าน
- เป็นเด็กฉลาด แม้จะมีปัญหาทางอารมณ์
- เป็นเด็กฉลาดที่คณะกรรมการนี้มีความเห็นว่าจะเป็นเด็กปัญญาเลิศ
2.1.6 เรียงลำดับรายชื่อเด็กและระบุว่าเด็กแต่ละคนถูกกล่าวถึงกี่ครั้ง
2.1.7 เด็กใน “อ่างเก็บน้ำ” เหล่านี้ หากคนใดถูกกล่าวถึง 3 ครั้งขึ้นไป ให้จัดเป็นเด็กปัญญาเลิศได้
2.1.8 เด็กใน “อ่างเก็บน้ำ” เหล่านี้ หากคนใดถูกกล่าวถึง 2 ครั้งขึ้นไป ให้นำไปทดสอบโดยใช้แบบทดสอบ Stanford-Binet
2.1.9 เด็กใน “อ่างเก็บน้ำ” ที่ถูกกล่าวถึงเพียงครั้งเดียว ให้ปล่อยกลับชั้นเรียนไป
2.1.10 เด็กที่ผ่านการทดสอบ (ใช้จุดตัดเป็นเกณฑ์) โดยแบบทดสอบ Stanford-Binet ให้จัดเป็นเด็กปัญญาเลิศ เด็กที่ไม่ผ่านให้กลับชั้นเรียนไป หากมีเวลาหรือกรรมการเห็นว่าเหมาะสม ควรทดสอบเด็กในข้อ 2.1.9 ด้วย และปฎิบัติเช่นเดียวกับข้อ 2.1.10
ในการคัดเลือกครูควรพิจารณาและสังเกตเด็กต่อไปนี้เป็นพิเศษ
- เด็กด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น เด็กที่พ่อแม่ฐานะยากจนมาก
- เด็กที่ปัญหาทางอารมณ์
- เด็กที่มีปัญหาในการอ่าน
- เด็กที่มีความเป็นผู้นำ
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
บันทึกครั้งที่ 4
6. เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
- เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆไม่ได้
- เด็กควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
- ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
แบ่งได้ 2 ประเภท
- เด็กที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์
- เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้
เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้มักมีพฤติกรรมนี้เห็นได้เด่นชัด คือ
- วิตกกังวล
- หนีสังคม
- ก้าวร้าว
การจะจัดว่าเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบดังนี้
- สภาพแวดล้อม
- ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
- ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
- รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือครูไม่ได้
- มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเม่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
- มีความขับข้องใจและมีความเก็บกดอารมณ์
- แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศรีษิปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย
- มีความหวาดกลัว
เด็กที่มีความบกพร่องทาพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
- เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
- เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม (Autisum)
เด็กสมาธิสั้น (ADHD)
- เรียกย่อๆว่า ADHD
- เด็กที่ซนอย่ไม่นิ่ง ซนมากผิดปกติ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
- เด็กบางคนมีปัญหาเรื่องสมาธิบกพร่อง อาการหุนหันพลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ เด็กเหล่านี้ทางการแพทย์ เรียกว่า Attention Deficit Disorders (ADD)
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
- อุจจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน
- ยังติดขวดนม หรือ ตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
- ดูดนิ้ว กัดเล็บ
- เรียกร้องความสนใจ
-อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสังคม
- ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
- ฝันกลางวัน
- พูดเพ้อเจ้อ
- เรียกย่อๆว่า L.D.(Learning Disability)
- เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
- เด็กที่มีปัญหาทางการใช้ภาษา หรือ การพูด การเขียน
ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย
ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
- มีปัญหาในทักษะทางคณิตศาสตร์
- ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้
- เล่าเรื่อง/ลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
- มีปัญหาทางการอ่าน เขียน
- ซุ่มซ่าม
- รับลูกบอลไม่ได้
- ติดกระดุมไม่ได้
- เอาแต่ใจตัวเอง
8. เด็กออทิสติก (Autistic)
- หรือ ออทิสซึ่ม (Autisum)
- เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อความหมาย พฤติกรรม สังคม และความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้
- เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง
-ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต
ลักษณะของเด็กออทิสติก
- อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง
- ม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
- ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
- ไม่ยอมพูด
- เคลื่อนไหวแบบซ่ำๆ
- ยึดติดกับวัตถุ
- ต่อต้าน หรือแสดงกิริยา อารมณ์รุนแรง และไร้เหตุผล
- มีทีท่าเหมือนคนหูหนวก
- ใช้วิธีการสัมผัส และเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยวิธีการที่ต่างไปจากคนอื่น
9. เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Hendicaps)
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
บันทึกครั้งที่ 3
4. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Impairment)
- เด็กที่อวัยวะไม่สมส่วน
- อวัยวะส่วนหนึ่งหายไป
- มีปัญหาทางระบบประสาท
- มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
จำแนกได้เป็น
1. อาการบกพร่องทางร่างกาย
2. ความบกพร่องทางสุขภาพ
ความบกพร่องทางด้านร่างกาย
ซี.พี Cerebral Palsy สมองพิการ
- เป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทลายก่อนคลอด ระหว่างคลอดหรือหลังคลอด
- การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพ๊ มีความบกพรองที่เกิดจากส่วนต่างๆของสมองแตกต่างกัน
อาการ
- อัมพาตเกร็งของแขนขา หรือครีกซีก (Spastic)
- อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Athetoid)
- อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia)
- อัมพาตตึงแข็ง (Rigid)
- อัมพาตแบบผสม (Mixed)

กล้ามเนื้ออ่อนแรง Muscular Distrophy
- เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้นๆเสื่อมสลายตัว
- เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
- จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม
โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ Orthopedic
- ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Clup Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
- ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง
- กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ
- ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง
- กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ
โปลิโอ (Poliomyelitis)
- มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
โรคกระดูกอ่อน Osteogenesis Lmperfeta

ความบกพร่องทางสุขภาพ
โรคลมชัก Epilepsy
- เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของนะบบสมอง
1. ลมบ้าหมู (Grand Mal)
- เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึก ในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
2. การชักในช่วงเวลาสั้น (Petit Mal)
- เป็นอารชักช่วงระยะเวลาสั้นๆ 5-10 วินาที
- เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
- เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
3. ชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
- เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็งเกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหายและนอนหลับไปชั่วครู่
4. อาการชักแบบ Partial Complex
- เกิดอาการเป็นระยะๆ
- กัดริมฝีปาก ไม่รู้สึกตัว ถูตามแขนขา เดินไปมา
- บางคนอาจเกิดความโกรธหรือโมโห หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก
5. อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
- เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้นๆ เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
โรคระบบทางเดินหายใจ
โรคเบาหวาน Diabetes Mellitus
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ Rheumatiod Arthritis
โรคศีษะโต Hydrocephalus
โรคหัวใจ Cardiac Conditions
โรคมะเร็ง Cancer
เลือดไหลไม่หยุด Hemophilia
ลักษณะของเด็กบกพร่อทางร่างกายและสุขภาพ
- มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
- ท่าเเดินคล้ายกรรไกร
- เดินขากะเผลกหรืออึดอาดเชื่องช้า
- ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
- มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
- หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม
- หกล้มบ่อยๆ
- หิวและกระหายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ

5. เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders)
เด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงผิดเพี๊ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้นตอน การใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นไปดังตั้งใจ มีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด
1. ความผิดปกติด้านการออกเสียง
- ออกผิดเพี๊ยนไปจากมาตรฐาน
- เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคำโดยไม่จำเป็น
- เอาเสียงหนึ่งมาแทนเสียงหนึ่ง เช่น กวาด เป็น ฟาด
2. ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด เช่น การพูดรัว การพูดติดอ่าง
3. ความผิดปกติด้านเสียง
- ระดับเสียง
- ความดัง
- คุณภาพของเสียง
4. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมองโดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ Aphasia
4.1 ) Motor Apasia
- เด็กที่เข้าใจคำถาม หรือ คำสั่ง แต่พูดไม่ได้ ออกเสียงลำบาก
- พูดช้าๆพอพูดตามได้บ้างเล็กน้อย บอกชื่อของพอได้
- พูดไม่ถูกไวยากรณ์
4.2 ) Wernicke's Aphasia
- เด็กที่ไม่เข้าใจคำถาม หรือ คำสั่ง ได้ยินแต่ไม่เข้าใจความหมาย
- ออกเสียงไม่ติดขัด แต่มักใช้คำผิดๆหรือใช้คำสั่งอื่นซึ่งไม่มีความหมายมาแทน
4.3 ) Conduction Aphasia
- เด็กที่ออกเสียงได้ไม่ติดขัด เข้าใจคำถามดี แต่พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมไปกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา
4.4 ) Nominal Aphasia
- เด็กที่ออกเสียงได้ เข้าใจคำถามดี พูดตามได้ แต่บอกชื่อวัตถุไม่ได้เพราะลืมชื่อ บางทีก็ไม่เข้าใจความหมายขอคำ มักเกิดร่วมไปกับ Gerstmann ' s syndrome
4.5 ) Global Apasia
- เด็กที่ไม่เข้าใจทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน
- พูดไม่ได้เลย
4.6 ) Sensory Agraphia
- เด็กที่เขียนเองไม่ได้ เขียนตอบคำถามหรือเขียนชื่อวัตถุก็ไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstmann ' s syndrome
4.7 ) Motor Agraphia
- เด็กที่ลอกตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ไม่ได้
- เขียนตามคำบอกไม่ได้
4.8 ) Cortical Alexia
- เด็กที่อ่านไม่ออก เพราะไม่เข้าใจภาษา
4.9 ) Motor Alexia
- เด็กที่เห็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ เข้าใจความหมายแต่อ่านออกเสียงไม่ได้
4.10 ) Gerstmann ' s syndrome
- ไม่รู้จักชื่อนิ้วตัวเอง (fingeragnosia)
- ไม่รู้ซ้ายขวา(allochiria)
- คำนวณไม่ได้ (acalculia)
- เขียนไม่ได้ (agrphia)
- อ่านไม่ออก (alexia)
4.11 ) Visual Agnosia
- เด็กที่มองเห็นวัตถุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บางที่บอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้
4.12 ) Auditory Agnosia
- เด็กที่ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยินแต่แปลความหมายของคำหรือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
- ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆและอ่อนแรง
- ไม่งอแงภายในอายุ 10 ขวบ
- ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
- หลัง3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
- ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
- หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบรูณ์ในระดับประถมศึกษา
- มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
- ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
บันทึกครั้งที่ 2
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
1. ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า " เด็กพิการ " เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ
2. ทางการศึกษา เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการและการประเมินผล
สรุป
- เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาความสามาถได้เท่าที่ควรจากการให้การช่วยเหลือและการสอนตามปกติ
- มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางกาย สติปัญญา และอารมณ์
- จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัด และฟื้นฟู
- จัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่วๆไปว่า " เด็กปัญญาเลิศ "
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
กระทรวงศึกษาธิการได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท
1. เด็กบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน
มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และ เด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้
สาเหตุของการเรียนช้า
- ภายนอก
- ภายใน
ภายนอก
- เศรษฐกิจของครอบครัว
- การสร้างเสริมประสบการณืให้แก่เด็ก
- สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
- การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
- วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
ภายใน
- พัฒนาการช้า (โดยเฉพาะด้านร่างกาย)
- การเจ็บป่วย

เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1. IQ ต่ำกว่า 20
ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. ขนาดหนัก IQ 20-34
ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่ายๆ
กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R. (Custodial Mental Retardation)
3. ขนาดปานกลาง IQ 35-49
พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้ เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R(Trainable Mentally Retarded)
4. ขนาดน้อย IQ 50-70
เรียนในระดับประถมได้ สามารถฝึกอาชีพและงานง่ายๆได้ เรียกโดยทั่วๆไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูดหรือพูดไม่สมวัย
- ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
- ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
- ทำงานช้า
- รุนแรงไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
2. เด็กบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Lteaning Tmpaired)
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท หูตึง และ หูหนวก
เด็กหูตึง
หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากที่ไกลๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินรหว่าง 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหานการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี๊ยน
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดล่าช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี๊ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด

เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เรื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
- ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
- ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
- พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
- พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
- พูดด้วยเสียงต่ำหรือเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
- เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
- รู้สึกไวต่อกรสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
- มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดด้วย

3. เด็กบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Lmpairments)
- เด็กที่ไม่เห็นหรือมองเห็นแสงเลือนลาง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิด
เด็กตาบอด
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18 20/60 6/60 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
- เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
- มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
- มับ่นว่าปวดศรีษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศรีษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
- เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่เมื่อใช้สายตา
- ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
- มีความลำบากในการจำและแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเสษ
บันทึกครั้งที่ 1
- อาจาร์บอกข้อตกลงและอธิบายรายละเอียดของวิชาการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษและให้ทำ mind mapping เรื่องเด็กพิเศษในความเข้าใจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)